"สมชาย" รอฟื้นหวยบนดินใช้เงินหนุนโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนรุ่น 3

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่น 3 ว่า เรื่องดังกล่าวจะสานต่ออย่างแน่นอน แต่จะรอดูว่าจะนำงบประมาณส่วนใดมาดำเนินการ แต่แนวโน้มของแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 3 คือ การขอใช้เงินรายได้จากการจำหน่ายสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว หรือ หวยบนดิน หรืออาจจะขอความร่วมมือจากภาคเอกชนให้สนับสนุนโครงการ ซึ่งก็มีหลายแห่งที่ต้องการเข้ามาช่วย อย่างไรก็ตาม เรื่องที่อาจจะนำงบประมาณปกติมาใช้ดำเนินการคงไม่มีแน่นอน

"ผมคิดว่าหวยบนดินจะฟื้นแน่นอน แต่ว่าถ้าจะนำเงินจากการขายหวยบนดินมาใช้ครั้งนี้ก็จะดูช่องทางการใช้ให้ถูก เพราะในอดีตมีการกล่าวหาว่ากำไรจากการขายหวยนำมาใช้ไม่ถูก ซึ่งเราก็ต้องรับฟังเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา โดยในส่วนนี้คงรอดูทิศทางจากกระทรวงการคลังก่อนและต้องรอดูด้วยว่า เมื่อฟื้นหวยบนดินขึ้นมาแล้ว จะมีรายได้เข้ามาเท่าใด อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่น 3 ทำแน่เพราะเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อเด็ก และทุกคนรอดูอยู่ แต่ขอดูเรื่องเงินก่อนอย่างเดียว สำหรับจำนวนทุนที่จะให้จะเป็นเช่นไรนั้น ทราบว่ารัฐบาลที่แล้วกำหนดหลักเกณฑ์ให้ทุนรุ่นที่ 3 นี้ เขตพื้นที่ละ 2 ทุน และอาชีวะอีกจังหวัดละทุน รวมเป็น 432 ทุน ซึ่งเข้าใจว่า เพราะรัฐบาลที่แล้วกลัวว่าจะไม่มีเงิน เลยลดจำนวนทุนลงไป อย่างไรก็ตาม ต้องมาพิจารณาข้อมูลอีกครั้ง หากแนวทางใดให้ประโยชน์แก่เด็กมากที่สุดก็จะเลือกทางนั้น"

ที่มา : http://www.moe.go.th , http://www.banmuang.co.th

นักวิชาการยำ 1 อ.1 ทุน ชี้ลงทุนสูง ผลตอบแทนต่ำ

“สมพงษ์” ติงโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ใช้งบสูง แต่ผลตอบกลับมาสู่สังคมต่ำ ไม่มีแนวทางให้เด็กทำประโยชน์ให้กับท้องถิ่น ส่วนสาขาที่ส่งไปศึกษายังต่างประเทศยังไม่คำนึงถึงความต้องการของประเทศ เชื่อรัฐฟื้นหวย 2 ตัว 3 ตัว นำเงินกลับมาใช้ ฝากรัฐหากฟื้น 1 อำเภอ 1 ทุน ให้สรรหาคณะกรรมการคัดเลือกให้ดี อย่าให้การเมืองแทรกแซง

นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการดำเนินโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายที่ดำเนินการมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รัฐบาลปัจจุบันจะสานต่อโครงการในรุ่นที่ 3 เพราะถือเป็นจุดขายอันดับ 1 ของรัฐบาล อีกทั้งยังเป็นนโยบายประชานิยมทางการศึกษาที่ชัดเจนมาก แต่ก็เป็นนโยบายที่ให้โอกาสเด็กยากจนได้เรียนต่อในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวใช้งบประมาณลงทุนที่สูงมาก แต่ผลตอบรับที่ตอบกลับมาให้สังคมค่อนข้างต่ำ เนื่องจากการดำเนินโครงการในรุ่นที่ 1-2 รัฐบาลไม่ได้หาแนวทางรองรับสำหรับเด็กที่จบมาแล้วว่า หากจบมาแล้วจะทำประโยชน์ให้กับท้องถิ่นของตนเองได้อย่างไร ขณะเดียวกัน สาขาวิชาที่ส่งให้เด็กไปศึกษาต่อ ก็มีความเข้มข้นน้อย เนื่องจากให้เด็กเป็นผู้เลือกคณะและประเทศที่ต้องการเอง โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ และความต้องการของประเทศ เช่น ส่งนักเรียน 1 ทุน 1 อำเภอ จำนวนประมาณ 40-50 คน ไปเรียนคณะบริหารการโรงแรมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งที่ประเทศไทยสามารถจัดการเรียนการสอนด้านนี้ได้ดีกว่า นอกจากนั้นก็ไม่มีการติดตามผลการดำเนินงานที่จริงจังเพียงพอ

“โครงการ 1 ทุน 1 อำเภอที่ผ่านมา มาตรฐานค่อนข้างย่อหย่อน และขาดการเอาจริงเอาจัง เด็กที่ไปเรียนจะรู้สึกเพียงว่าตัวเองสมหวังตามความต้องการที่อยากไปเรียนในต่างประเทศ แต่จะไม่ให้ความสำคัญกับการเรียนเท่าใดนัก ดังนั้น การให้ทุนจึงควรมีการกำหนดให้ชัดเจนว่าจะส่งไปในสาขาและประเทศใดบ้าง เพื่อให้นักเรียนได้นำความรู้กลับมาใช้ประโยชน์ในท้องถิ่นของตนเองได้ ไม่ใช่เปิดกว้างเกินไปอย่างที่ผ่านมา มิเช่นนั้นจะเป็นโครงการประชานิยมที่สร้างภาพ และคุณภาพการบริหารจัดการที่ตกต่ำ”

นายสมพงษ์ กล่าวอีกว่า หากรัฐบาลปัจจุบันยืนยันที่จะสานต่อโครงการ 1 ทุน 1 อำเภอในรุ่นที่ 3 ก็ควรที่จะศึกษาถึงข้อดี และข้อเสีย รวมทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการในรุ่นที่ 1-2 เพื่อมาพิจารณาว่าจะต้องมีการปรับปรุงในส่วนใดบ้าง ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณที่จะนำมาสนับสนุนโครงการนั้นไม่น่ามีปัญหา เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้จะต้องรื้อฟื้นสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว กลับมา และนำมาเงินมาใช้กับโครงการนี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม อยากให้รัฐบาลสรรหาคณะกรรมการที่จะคัดเลือกผู้มารับทุนให้เหมาะสม อย่าให้ตกเป็นเหยื่อของนักการเมือง เพราะคนเหล่านี้จะพร้อมปฏิบัติตามความต้องการของนักการเมือง และจะส่งผลให้เด็กที่ได้รับทุนไม่ใช่เด็กที่ยากจนจริงๆ จะกลายเป็นเด็กทุนตัวปลอมที่แย่งโอกาสคนอื่น

ที่มา : http://manager.co.th

ถ้าหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนกลับมา รัฐบาลควรปรับปรุงอย่างไร?

โครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่จัดสรรทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาตรีทั้งในประเทศและต่างประเทศแก่เด็กนักเรียนยากจนทั่วประเทศ

โดยมีแนวคิดในการพัฒนาศักยภาพของคนในประเทศตลอดจนการเสริมสร้างองค์ความรู้และพัฒนาการเรียนรู้ของคนในสังคมทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้เด็กยากจนในสังคมโดยเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาทั้งในและต่างประเทศในสาขาที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง ชุมชน และท้องถิ่น (ศิรินันท์ กิตติสุขสถิต และคณะ, 2549)

แนวคิดดังกล่าวเป็นการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ที่จะให้ผลระยะยาวต่อการพัฒนาประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินงานโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนที่ผ่านมายังมีปัญหาในทางปฏิบัติหลายประการด้วยกัน

หากรัฐบาลชุดปัจจุบัน (นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี) จะรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ควรมีคณะทำงานศึกษาข้อมูลที่ได้ดำเนินการมาแล้วโดยใช้ผลการศึกษาในเชิงประเมินจากหน่วยงานและนักวิชาการเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นจุดอ่อน/จุดแข็ง รวมทั้งข้อเสนอแนะแล้วสร้างรูปแบบ (model) ของโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนเสียใหม่

กรณีศึกษารายงานโครงการติดตามประเมินผลโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนรุ่น 1 โดยคณะวิจัยจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะพัฒนาการเศรษฐกิจสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ประกอบด้วยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศิรินันท์ กิตติสุขสถิต ดร.ปังปอนด์ รักอำนวยกิจ และ ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ ซึ่งได้ตีพิมพ์รายงานโครงการดังกล่าวในปี พ.ศ.2549 โดยนำเสนอข้อเสนอแนะต่อโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนที่ได้จากการวิจัยด้านกระบวนการคัดเลือก กระบวนการเตรียมความพร้อม กระบวนการดูแลนักเรียนและประเทศที่จะไปศึกษา รวมทั้งข้อเสนอแนะทางด้านยุทธศาสตร์ในระยะยาว

เป็นข้อเสนอแนะที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนโดยมีสาระโดยย่อดังนี้

1. ข้อเสนอแนะในกระบวนการคัดเลือกนักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน

ข้อเสนอแนะ ในการคัดเลือกนักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน สำหรับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนนำไปปฏิบัติ รวมทั้งข้อคิดเห็นและประเด็นต่างๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนการกำหนดเกณฑ์รายได้ กรรมการผู้คัดเลือก การตรวจสอบคุณสมบัติ เป็นต้น

ทั้งนี้ เมื่อได้นักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนที่ผ่านตามเกณฑ์แล้ว การปฏิบัติการในกระบวนการคัดเลือกนักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน ให้เปิดเผยและมีความโปร่งใสโดยควรมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการประกาศรายชื่อนักเรียนที่ได้รับทุนโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนอำเภอละ 1 คน ตามสื่อต่างๆ

โดยใช้เกณฑ์การได้คะแนนจากการสอบข้อเขียนร้อยละ 75 และการได้คะแนนจากการสอบสัมภาษณ์ร้อยละ 25

2.ข้อเสนอแนะในการเตรียมความพร้อมสำหรับนักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน

ข้อเสนอแนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับนักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาต้องการตรวจสอบคุณสมบัติอีกครั้ง ว่าสอดคล้องตามที่ได้กำหนดไว้หรือไม่ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีกระบวนการการตรวจสอบคุณสมบัติให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

และนักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน ทุกคนควรผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติก่อนการเข้าสู่กระบวนการปฐมนิเทศ หลังจากนั้น ให้มีการจัดการปฐมนิเทศ โดยสำนักงาน ก.พ. กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันดำเนินการใช้ระยะเวลาทั้งหมดเป็นเวลา 6 เดือน ก่อนนักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนแยกย้ายกันไปศึกษาต่อยังสถาบันการศึกษาในประเทศหรือต่างประเทศ

การจัดปฐมนิเทศ ควรจัดรูปแบบกิจกรรมที่ให้สมาชิกในครอบครัวเน้นพ่อแม่หรือผู้ปกครองของนักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนเข้าร่วมกิจกรรมด้วยอย่างน้อย 1 วัน เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวรับรู้รายละเอียดและกิจกรรมต่างๆ ที่บุตรหลานของตนต้องไปประสบ ในการศึกษาข้างหน้า เพื่อลดความห่วงใย

นอกเหนือจากนี้รูปแบบการจัดปฐมนิเทศ อาจจัดให้นักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนไปทัศนศึกษาในหลายพื้นที่ เพื่อให้สามารถนำวัฒนธรรมไทย และข้อมูลต่างๆ ไปใช้ในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในต่างประเทศได้

3.ข้อเสนอแนะในกระบวนการดูแลนักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน

ข้อเสนอแนวทางจัดระบบดูแลนักเรียนผู้ได้รับทุนในระหว่างการศึกษาและข้อเสนอแนะจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดย สกอ. ควรทำหน้าที่ในการประสานงานและจัดตั้งคณะกรรมการดูแลนักเรียนในประเทศ รวมทั้งมีระบบการเบิกจ่ายเงิน และระบบให้คำปรึกษาที่มีประสิทธิภาพ มีการติดตาม และเยี่ยมเยียนนักเรียนอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่นักเรียนทุนในต่างประเทศสามารถมีระบบการดูแลที่แตกต่างกันดังนี้

3.1 ในประเทศที่มีสำนักงานดูแลนักเรียนของ ก.พ.ตั้งอยู่ ก.พ.จะเป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลนักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนระหว่างการศึกษา เช่น ญี่ปุ่นและฝรั่งเศส

3.2 ในบางประเทศสำนักงานผู้ดูแล ก.พ. สามารถแจ้งภาคเอกชนมาดูแลนักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน โดยอยู่ในความควบคุมของสำนักงาน ก.พ. ดังเช่น กรณีของประเทศเยอรมนี

3.3 ในประเทศที่ไม่มีสำนักงาน ก.พ.ตั้งอยู่ ก.พ.ควรมีการประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ โดยให้สถานทูตเป็นผู้ดูแลนักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน ดังเช่น ในกรณีของประเทศรัสเซีย อินเดีย และอิตาลี เป็นต้น

3.4 มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาสามารถเป็นผู้ดูแลนักเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนได้โดยอาจจะมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน อย่างกรณีของประเทศจีน

ทั้งนี้ ควรมีการประเมินข้อดีและข้อเสียในแต่ละระบบการดูแล และตัดสินใจเลือกระบบที่จะมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยอาจแยกกรณีเฉพาะในแต่ละประเทศ

4.ข้อเสนอแนะในการเลือกประเทศที่จะส่งเด็กเพื่อไปศึกษา

จากการวิเคราะห์ถึงผลได้-ผลเสีย (Cost-Benefit Analysis) คณะวิจัยได้จัดกลุ่มประเทศโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ

กลุ่ม 1 : ประเทศที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ จีน เยอรมนี อินเดีย อิตาลี มาเลเซีย สเปน

กลุ่ม 2 : ประเทศที่มีศักยภาพปานกลาง ได้แก่ รัสเซีย ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ อียิปต์ ออสเตรเลีย เดนมาร์ก สวีเดน

กลุ่ม 3 : ประเทศที่มีศักยภาพต่ำ ได้แก่ ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์

ทั้งนี้ การเลือกประเทศที่เหมาะสมจะช่วยให้โครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนสัมฤทธิ์ผลมากยิ่งขึ้น ประเทศชาติจะได้บุคลากรที่ตรงกับความต้องการเพื่อสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาว

5.ข้อเสนอแนะเพื่อการวางนโยบาย และยุทธศาสตร์ในระยะยาว

การบริหารโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนควรคำนึงถึงผลสำเร็จในระยะยาว ทั้งนี้ รัฐบาลต้องคำนึงถึงกลไกการบริหารโครงการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ในการที่ภาครัฐจะได้ประโยชน์จากโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศเป็นสำคัญ

จากการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ พบว่าความหลากหลายในสาขาวิชา รวมไปถึงความสามารถทางภาษาของนักเรียนในโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศ

เนื่องจากนักเรียนทุนในโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มแรงงานที่มีทักษะและเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชา

ทั้งนี้ ระบบฐานข้อมูลหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน (ODOS Database) จะช่วยในการที่หน่วยงานวางแผนจะสามารถได้รับข้อมูลข่าวสารได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

ข้อเสนอแนะที่ได้จากข้อค้นพบในการวิจัยเชิงประเมินผลของกลุ่มนักวิชาการดังที่กล่าวข้างต้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนไปสู่การปฏิบัติที่มุ่งผล

ดังนั้น คณะกรรมการดำเนินงานโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงาน ก.พ. (หน่วยงานเดิมที่เป็นผู้ดำเนินการในอดีต) ควรมีการศึกษาผลการประเมินโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนที่ได้มีการศึกษาทั้งโดยหน่วยงานต่างๆ และมหาวิทยาลัย

เพื่อสังเคราะห์ให้ได้ข้อเสนอแนะต่อการปรับปรุง และพัฒนาโครงการให้สามารถสนองตอบต่อหลักการ และเหตุผลในการให้ทุนของโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน

ที่มา : http://www.matichon.co.th , เขียนโดย สุรชัย เทียนขาว มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ลพบุรี